[ข่าวลือ] Galaxy S5 จะตั้งราคาถูกกว่า Galaxy S4 ในเกาหลีใต้


Galaxy S5
ZDNet Korea รายงานข่าวลือว่า ซัมซุงอาจตั้งราคาของ Galaxy S5 ในประเทศบ้านเกิดถูกลงจากราคา Galaxy S4
ตามข่าวบอกว่าราคาของ Galaxy S5 น่าจะอยู่ราว 8-8.5 แสนวอน (26,000 บาท) ลดลงจากราคาของ Galaxy S4 ที่เปิดตัวในเกาหลีใต้ที่ 9.5 แสนวอน (29,000 บาท) หรือลดลงจากเดิมประมาณ 1 แสนวอน (ราคาในเกาหลีแพงเป็นปกติอยู่แล้วนะครับ)
ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าข่าวลือนี้จะมีผลเฉพาะในเกาหลีใต้ประเทศเดียว หรือครอบคลุมประเทศอื่นๆ ที่ขาย Galaxy S5 ด้วย
ที่มา - ZDNet KoreaUnwired View และ blognone

โซนี่เผย Xperia Z2 และ Xperia Z2 Tablet จะไม่มีฟิล์มกันกระจกแตกติดมาด้วย


Xperia
ตามธรรมเนียมแล้ว มือถือโซนี่ทุกรุ่น (ตั้งแต่ยุคโซนี่อิริคสัน) จะมีฟิล์มแผ่นหนึ่งที่ทั้งหนาและเหนียวติดมาให้ด้วย ฟิล์มแผ่นนี้ก็คือ Anti-shatter film ซึ่งโซนี่จะติดมาให้กับโทรศัพท์มือถือทุกรุ่นในตระกูล Xperia ทั้งหมด ข้อดีคือเวลาหน้าจอแตกชิ้นส่วนกระจกจะไม่หลุดออกมาให้บาดมือ
แต่ข้อเสียของฟิล์มตัวนี้ก็คือเป็นรอยขีดข่วนได้ค่อนข้างง่ายถึงง่ายมากเพียงแค่การใช้งานตามปกติเพียงไม่กี่ครั้ง รวมถึงเป็นฟิล์มที่เก็บรอยนิ้วมือรวมถึงความมันจากตัวผู้ใช้ด้วย อีกทั้งเมื่อติดฟิล์มกันรอยทับกับฟิล์มตัวนี้ลงไปก็จะทำให้การใช้งานตัวทัชสกรีนนั้นแย่ลง อย่างไรก็ดีฟิล์มตัวนี้สามารถลอกออกได้โดยไม่มีผลอะไร แต่สำหรับรุ่นปี 2013 การลอกฟิล์มออกคือการนำโลโก้โซนี่ออกไปจากตัวเครื่อง ซึ่งทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจและติ (ปนด่า) ในเรื่องนี้อยู่หนักหน่วงพอสมควร
และเมื่อเร็วๆ นี้ ตัวแทนของโซนี่ได้เผยอย่างไม่เป็นทางการหลังจากที่มีคนสอบถามไปว่า Xperia Z2 จะยังมีฟิล์มตัวนี้ติดมาด้วยหรือไม่ คำตอบของโซนี่ก็คือ Xperia รุ่นปี 2014 เป็นต้นไป นับจาก Xperia Z2 และ Xperia Z2 Tablet โซนี่จะไม่ติดฟิล์มกันแตกมาให้แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีที่โซนี่มีการปรับตัวครั้งใหม่หลังจากที่มีผู้ใช้ติเรื่องนี้เข้าไปหนักหนาพอสมควร
และนั่นก็หมายความได้อีกอย่างหนึ่งว่าคนที่จะรอซื้อ Xperia Z2 คงต้องหาวิธีในการดูแลตัวเครื่องเพิ่มจากเดิมด้วยแล้วล่ะครับ
ที่มา - Android Central และ blognone

วิเคราะห์ Galaxy S5 ไม่หวือหวา แต่กลับมาโฟกัสที่ประโยชน์ใช้งานจริง


Galaxy S5
ข่าวใหญ่อีกข่าวของวงการมือถือโลกเมื่อวานนี้คือ การเปิดตัว Galaxy S5 ของผู้ขายสมาร์ทโฟนหมายเลขหนึ่งของโลก รายละเอียดเบื้องต้นว่ามันทำอะไรได้บ้าง ผู้อ่าน Blognone น่าจะรับทราบกันหมดแล้วนะครับ
แวบแรกที่ผมอ่านข่าว Galaxy S5 ก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะมีอะไรใหม่สักเท่าไรเลย แต่พอวันนี้ตอนเย็นๆ มีเวลานั่งดูคลิปงานแถลงข่าว Unpacked 2014 แบบละเอียดๆ ก็พบว่ามันมีอะไรน่าสนใจเยอะอยู่เหมือนกัน
บทความนี้จึงเป็นการ "วิจารณ์" ฟีเจอร์ต่างๆ ของ Galaxy S5 (แบบไม่เคยจับของจริง) ว่าอะไรบ้างที่น่าจะเวิร์คหรือไม่เวิร์คในมือถือเรือธงตัวล่าสุดของซัมซุงตัวนี้

จาก S4 สู่ S5: กลับสู่แนวทางที่ควรจะเป็น

อย่างแรกเลยต้องย้อนความไปยัง Galaxy S4 เรือธงของปีที่แล้ว ที่จัดงานใหญ่โตหรูหรา (ผมก็ได้รับเชิญจากซัมซุงไปงานนี้ด้วยนะครับ) มีฟีเจอร์มากมาย แต่สุดท้ายฟีเจอร์เหล่านี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นแค่ลูกเล่นที่ใช้งานไม่ได้จริง ใส่มาให้รกเครื่องเปล่าๆ ซึ่งก็สร้างผลสะเทือนให้กับซัมซุงไม่น้อย ("ว่ากันว่า" S4 ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า "ว่ากันว่า")
พอมาถึงยุคสมัยของ Galaxy S5 ตัวแทนซัมซุงก็พูดบนเวทีชัดเจนว่า "รับฟัง" เสียงเรียกร้องจากผู้ใช้และปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาใหม่ ภายใต้แนวคิดว่า Meaningful Innovation ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นภาพสะท้อนของ Galaxy S5 ได้เป็นอย่างดี
ของใหม่ใน Galaxy S5 ถูกแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม (เพื่อให้ตรงกับเลข 5 ดูลงตัว) เพื่อความสะดวกของคนเขียนก็จะขอไล่ฟีเจอร์ตามลำดับของซัมซุงเลยนะครับ

ดีไซน์: พัฒนาขึ้นแต่ยังไม่สุด

สิ่งที่ Galaxy S4 โดนวิจารณ์หนักที่สุดคงหนีไม่พ้น "ดีไซน์" ที่ดูเหมือนพลาสติกราคาถูก ไม่สมราคารุ่นท็อปสักเท่าไร ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา ซัมซุงพยายามแก้ปัญหานี้ไปในหลายทิศทาง เช่น ใน Galaxy Note 3 และซีรีส์ Galaxy Note ในปี 2013 เปลี่ยนมาใช้ดีไซน์เลียนแบบหนังสัตว์ ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง (แต่ยังไม่ถึงกับดีมาก)
กรณีของ S5 ก็ใช้ดีไซน์ไปในอีกทาง (ชื่อเรียกของมันคือ Modern Glam) โดยฝาหลังใช้ตารางที่สร้างจากจุด (เหมือนกับ Nexus 7 2012) ส่วนด้านหน้าแทบจะเหมือนของเดิมทุกประการ
เรื่องดีไซน์ตัวเครื่องนี้ไม่เห็นของจริงยังไม่กล้าฟันธงครับ ผมพยายามหารูปจากเว็บของซัมซุงที่ดูเป็นการใช้งานในสภาพจริงมากที่สุด ก็ได้ตามภาพข้างล่างนี้ (ให้ดูแต่รูปแล้ววิจารณ์ ก็คงบอกได้ว่าดีขึ้นจาก S4 และอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ Note 3 แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสวยเป๊ะแบบ iPhone 5/5s)
ประเด็นเรื่องดีไซน์ด้านอื่นๆ ที่ซัมซุงพูดถึงคือจอภาพ จอยังเป็น Super AMOLED เหมือนเดิม ขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยเป็น 5.1" (ตัวเครื่องใหญ่ขึ้นด้วยเล็กน้อย) อันนี้ไม่มีอะไรหวือหวา เทคโนโลยีจอภาพบนอุปกรณ์พกพาน่าจะเริ่มตันแล้วทั้งในแง่ชนิดของจอและความละเอียด
แต่ฟีเจอร์ที่ดูจะมีประโยชน์มากคือการปรับแสงสว่างทั้งในแง่สว่างสุดสู้แดด และแสงน้อยสุดๆ เพื่อไม่ให้แสบตาในที่มืด Galaxy S5 ขยายขีดจำกัดด้านความสว่างทั้งขอบบนและขอบล่างแบบนี้ ก็ถือเป็นฟีเจอร์ที่ใช้ประโยชน์ได้จริงมากพอสมควร
อีกประเด็นเรื่องของดีไซน์คือ UI ที่ซัมซุงเรียกว่า Vibrant UX อันนี้ถือว่าผิดจากข่าวลือว่าซัมซุงจะใช้ดีไซน์แนว Magazine UX ที่เปลี่ยนหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ Vibrant UX ปรับปรุงจาก TouchWiz ของเดิมไม่มากนัก
แต่การปรับปรุงก็เป็นไปในเชิงบวกนะครับ หน้าตาดูเรียบง่ายมากขึ้น ลดความ "เยอะ" ลงไปพอสมควร เพียงแต่มันก็ไม่มีอะไรใหม่มากนักในแง่ของนวัตกรรม UI และยังอิงอยู่บนพื้นฐานของ TouchWiz เดิม (ซึ่งก็มีแง่ดีว่าไม่ต้องเรียนรู้กันใหม่เยอะ)
โดยสรุปแล้ว ประเด็นเรื่องดีไซน์ของ S5 ทำได้ดีขึ้นกว่าของเดิม แต่ยังไม่ดีขึ้นเยอะมากอย่างผมแอบที่หวังไว้ครับ

กล้อง: ไม่หวือหวาแต่ใช้งานได้จริง

กล้องบนมือถือกลายเป็นวิถีชีวิตของผู้คน เป็นกล้องที่คนสะดวกในการหยิบมาถ่ายภาพมากที่สุด ดังนั้นมือถือกล้องดีจึงมีชัยไปกว่าครึ่ง แอปเปิลเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีและใส่ใจกับกล้องของ iPhone รุ่นหลังๆ มาก ถึงแม้จะไม่ขั้นเทพแบบ PureView ของโนเกีย แต่ก็ตอบสนองความต้องการใช้งานทั่วไปและที่สำคัญคือ "ใช้ง่าย"
ปีที่แล้วเราแทบไม่เห็นซัมซุงชูประเด็นเรื่องกล้องเลย (แต่ S4/Note 3 ก็มีกล้องที่คุณภาพดีเกินมาตรฐาน เพียงแต่ไม่ใช่ระดับโดดเด่นที่สุด) มาปีนี้ ซัมซุงกลับมาขุดเรื่องกล้องเป็นจุดขายอีกรอบ
ฟีเจอร์ด้านกล้องของ Galaxy S5 มีของใหม่ด้วยกัน 3 อย่างคือ Fast AF, HDR, Selective Focus
Fast AF ดูเป็นฟีเจอร์ที่ดูมีนวัตกรรมมากที่สุด ซัมซุงยัดระบบ Phase Detection Auto Focus เข้ามา (ตามภาพ) และปรับปรุงเรื่องชิปในการช่วยประมวลผลภาพด้วย ผลออกมาเป็นว่า S5 จับโฟกัสได้เร็วมาก เพียง 0.3 วินาทีเท่านั้น
ฟีเจอร์ Fast AF น่าจะมีผลต่อการใช้งานกล้องจริงๆ มาก เพราะการถ่ายภาพทุกครั้งจะได้ประสบการณ์โดยรวมที่ดีขึ้น ถ่ายรูปได้ไวขึ้นในระดับหนึ่ง
ฟีเจอร์ HDR เป็นของที่คงได้ใช้กันเยอะอีกตัวหนึ่ง เพราะในการถ่ายภาพด้วยกล้องมือถือจริงๆ เรามักเจอสถานการณ์แสงแย่ๆ ที่ต้องบังคับให้ถ่าย HDR อยู่บ่อยๆ ดังนั้นการปรับปรุง HDR ให้ดีขึ้นย่อมมีประโยชน์ แต่ถ้าถามว่ามันเป็นของใหม่หรือเปล่า ก็ตอบได้เต็มปากเลยครับว่าไม่ใหม่เท่าไรนัก ชาวบ้านเขาทำกันมานานแล้ว
Selective Focus อันนี้แปลกใหม่ดี ถือเป็นลูกเล่นที่ช่วยให้ถ่ายภาพดูดีขึ้น แต่ถ้าถามว่าเราจะได้ใช้มันทุกสถานการณ์หรือไม่ ก็คงไม่ใช่ ผมยกให้ฟีเจอร์นี้เป็น nice-to-have แต่ไม่ถึงขั้นยกระดับคุณภาพชีวิตเหมือนกับ Fast AF
โดยรวมก็เหมือนที่จั่วหัวไปครับ นวัตกรรมใหม่อาจไม่เยอะเท่ากับคู่แข่งบางราย (เช่น PureView) แต่ถามว่าที่เพิ่มเข้ามามันน่าจะใช้ได้จริงไหม คำตอบก็คงใช่

Speed: เร็วขึ้น แต่ก็ตามมาตรฐาน

ซัมซุงชูจุดขายเรื่องความเร็วในการเชื่อมต่อไว้ 3 ประการ คือ LTE, Wi-Fi MIMO 802.11ac และ Download Booster
เรื่อง LTE มาถึงวันนี้ปี 2014 ต้องถือว่าเป็นฟีเจอร์มาตรฐานของมือถือระดับเรือธงไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ของใหม่เพราะมือถือเรือธงของปีที่แล้วหลายๆ ตัวก็รองรับ LTE กันบ้างแล้ว เช่น iPhone 5s หรือ Sony/Nokia การที่ซัมซุงใส่ LTE มาเป็นมาตรฐานคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เพราะเป็นไฟต์บังคับที่ไม่ใส่มาก็ขายไม่ออก
Wi-Fi MIMO 802.11ac ก็ถือเป็นการรองรับ Wi-Fi ที่เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในตอนนี้ ฟีเจอร์แบบนี้เป็นเรื่องดีครับ แต่การใช้งานจริงก็ขึ้นกับ access point ของเราเองด้วยว่าเป็น ac กับเขาด้วยไหม (รอบการอัพเกรด access point มันนานๆ ทีทำกันทีซะด้วย ผมเชื่อว่าหลายคนยังใช้ g กันอยู่ หรือบางคนอาจยังเป็น b ด้วยซ้ำไป)
สุดท้ายฟีเจอร์ Download Booster ที่ใช้ Wi-Fi กับ LTE ช่วยกันดาวน์โหลดไฟล์ อันนี้แปลกใหม่ดีแต่โอกาสที่จะได้ใช้งานจริงคงมีน้อย เพราะต้องมีเงื่อนไขครบทุกอย่างจึงจะทำงานได้ดังโฆษณา (เช่น มี LTE, ดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่จริงๆ)
สรุปแล้ว ฟีเจอร์ด้านความเร็วในการเชื่อมต่อก็อยู่ในกลุ่มมาตรฐานอุตสาหกรรม แต่ไม่มีอะไรแปลกใหม่เช่นกัน

ความอึด: ไม่ใหม่ แต่มีประโยชน์

Galaxy S5 สามารถทนน้ำทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 เรื่องนี้ดีแน่นอนเพราะผู้บริโภคทำมือถือตกน้ำแล้วมีปัญหากันเป็นจำนวนมาก การที่ Galaxy S5 กันน้ำได้ในระดับที่เรียกว่าเหลือเฟือสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน (คงไม่มีใครเอามือถือไปแช่น้ำเกิน 30 นาทีกระมัง) ถือว่าเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคมากๆ
แต่ IP67 ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกนั่นแหละ เราเห็น Sony บุกเบิกเรื่องนี้มานานจนกลายเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว ดังนั้นฟีเจอร์นี้ถือว่ามีประโยชน์มาก แต่ซัมซุงไม่ใช่รายแรกที่ทำ
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่ายุทธศาสตร์นี้น่าจับตาเพราะช่วงหลังๆ วงการมือถือเริ่มตัน หาฟีเจอร์ใหม่ๆ ใส่เข้ามาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่ซัมซุงอาจจะขยายความสามารถด้านกันน้ำกันฝุ่นไปยังสมาร์ทโฟนตลาดบนตัวอื่นๆ ที่จะขายในปีนี้ด้วย (ที่แน่ๆ Note 4 คงมีชัวร์)
ฟีเจอร์อย่างที่สองในประเด็นเรื่องความอึด-ความปลอดภัยคือ ตัวสแกนลายนิ้วมือ ฟีเจอร์ที่หลายคนคงคุ้นเคยมาจาก iPhone 5s (แต่ถ้าพูดกันตรงๆ แล้ว iPhone 5s ก็ไม่ใช่รายแรกที่ทำเช่นกันนะ)
ฟีเจอร์นี้ชัดเจนว่าซัมซุงเป็นผู้ตาม แต่มันช่วยให้ชีวิตสะดวกขึ้นจริง (รูดง่ายแค่ไหน เทียบกับ iPhone 5s แล้วเป็นอย่างไร ไม่มีใครทราบ ต้องรอเครื่องจริง)
ซัมซุงพยายามโชว์จุดขายว่ามันไม่ใช่แค่ปลดล็อคเครื่อง แต่ยังสามารถใช้จ่ายเงินด้วย PayPal ได้ด้วย เรื่องนี้ผมว่าดีแต่ทำจริงมันไม่ง่ายเพราะ ecosystem ทั้งระบบต้องสนับสนุนกันหมด การชูว่าใช้จ่าย PayPal ก็คงเป็นแค่ลูกเล่นที่ไม่น่าจะได้ใช้งานจริงกันมากนัก
แต่ฟีเจอร์ที่กลับน่าจะเวิร์คคือ Private Mode ที่ซ่อนไฟล์ข้อมูลสำคัญๆ เอาไว้ เจ้าของเข้าถึงได้โดยการรูดนิ้วเท่านั้น ตัวอย่างการใช้งานที่พิธีกรพูดถึงบนเวทีคือ เขาถ่ายภาพพาสปอร์ตเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แต่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นข้อมูลนี้ในเวลาปกติทั่วไป ซึ่งตัวสแกนลายนิ้วมือ+Private Mode ตอบโจทย์นี้มากๆ
ฟีเจอร์ Kids Mode ถือเป็นกลุ่ม nice-to-have อีกเหมือนกัน และซัมซุงก็ไม่ได้ทำเป็นเจ้าแรก (อีกแล้ว) โดยทั้ง Kindle Fire และ Windows Phone มีมาก่อนนานแล้ว
แบตเตอรี่ใช้งานได้อึดกว่าเดิม ตรงไปตรงมาแต่มีประโยชน์ แต่อันที่เจ๋งจริงคือ Ultra Power Saving Mode ฟีเจอร์ที่เรียกเสียงปรบมือได้จากคนดู ด้วยสโลแกนง่ายๆ ว่า "แบตเหลือ 10% สแตนด์บายได้อีก 24 ชั่วโมง"
ส่วนการใช้งานจริงจะทำได้สมราคาคุยหรือไม่ ก็คงต้องรอเทสต์ของจริงกันต่อไปครับ

Fitness: นวัตกรรมของแท้แต่ต้องรอเวลา

ฟีเจอร์ที่ผมยกให้เป็นนวัตกรรม "ซัมซุงทำคนแรก" ของจริงคือ ตัววัดอัตราการเต้นของหัวใจ (heart rate sensor) เรื่องนี้ใหม่จริงและน่าจะมีคนลอกในไม่ช้า
หลายคนอาจมีคำถามว่ามือถือจะวัดอัตราการเต้นของหัวใจไปเพื่ออะไร คำตอบต้องดูภาพรวมของเทคโนโลยีครับ ในการแถลงข่าวครั้งนี้ ซัมซุงยังเปิดตัวสินค้ากลุ่มสวมใส่ได้อีก 2 ตัวคือ Gear 2 และ Gear Fit ที่วัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ทั้งคู่
พูดง่ายๆ ว่าในสินค้าใหม่ของซัมซุงที่เปิดตัวในงาน MWC 2014 ทุกตัววัดการเต้นของหัวใจได้หมด มันชี้ให้เห็นถึงทิศทางของซัมซุง (และโลกเทคโนโลยีในภาพรวม) ที่กำลังหมุนไปในยุคของอุปกรณ์แบบสวมใส่ได้ ซึ่งฟีเจอร์ด้านฟิตเนสและสุขภาพจะกลายเป็นพระเอก
ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องรอให้อุตสาหกรรมพร้อม และความพร้อมของผู้ใช้เองอีกต่อหนึ่ง ในอีกไม่ช้าเราอาจวัดข้อมูลของร่างกายแบบเรียลไทม์ตลอดเวลา และมีแอพพลิเคชันมากมายที่คอยวิเคราะห์ข้อมูลพวกนี้เพื่อแจ้งเตือนเมื่อร่างกายเกิดภาวะผิดปกติ
heart rate sensor เป็นก้าวแรกๆ ของวิสัยทัศน์เหล่านี้ มันแปลกใหม่จริงแต่ก็ต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะได้ใช้งานแบบเต็มศักยภาพ

สรุป

โลกมือถือแข่งกันดุเดือดมาหลายปี อะไรที่เอามายัดใส่ได้ก็ใส่กันจนไม่รู้จะใส่อะไรเพิ่มได้อีกแล้ว โลกมือถือระดับ flagship ในช่วง 1-2 ปีให้หลังจึงเริ่มหมุนช้าลง (เป็นกันทุกค่าย แอปเปิลก็เป็น)
กรณีของ Galaxy S5 ก็คงไม่หนีกันมาก ของใหม่แบบว้าวจริงๆ ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มีไม่เยอะเท่าไรนัก
แต่ถ้าพิจารณาจากปัญหาของ Galaxy S4 (เยอะแต่ไม่ค่อยได้ประโยชน์) ต้องถือว่า Galaxy S5 กลับมาอยู่ในแนวทางที่ควรจะเป็นในเรื่องการตอบโจทย์ผู้ใช้งาน (สักทีนะ) และหวังว่าซัมซุงจะเดินหน้าในแนวทางนี้ต่อไป
จุดที่ผมผิดหวังคงเป็นเรื่องดีไซน์ (ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์) ที่ยังไม่กล้าฉีกแนวใหม่ๆ และยังเลือกที่จะเดินตามสูตรสำเร็จแบบเดิมๆ อยู่มาก (ซึ่งถ้าจะพูดให้แฟร์ก็ต้องบอกว่า คู่แข่งหลายๆ ค่ายในช่วงหลังก็ไม่ค่อยฉีกแนวทางการดีไซน์เหมือนกัน)
ผมคาดว่า Galaxy S5 น่าจะขายดีในระดับไล่เลี่ยกับของเดิม แต่ถ้าจะหวังยอดขายถล่มทลายแบบที่เคยทำได้ในอดีตคงยากแล้ว เพราะมือถือตลาดบนน่าจะเริ่มอิ่มตัวกันแล้ว
ปี 2014 จะเป็นปีของมือถือตลาดกลาง/ล่างที่จะต่อสู้กันอย่างดุเดือด และเราน่าจะได้เห็นมือถือราคาไม่แพงแต่ดึงฟีเจอร์ของตัวท็อปๆ ของแต่ละค่ายมาฟาดฟันกันอย่างสนุกสนานครับ (ผู้บริโภคได้ประโยชน์ในท้ายที่สุด เฮ)
ปิดท้ายด้วยคลิปงานแถลงข่าว Unpacked 2014 เผื่อว่าใครยังไม่ได้ดู ผมว่าปีนี้ซัมซุงทำได้ดีทีเดียว เข้าเป้า ตรงประเด็น ไม่ลีลาร่ำไรเหมือนปีที่แล้ว
ที่มา : blognone

การอัพเดทข่าวของทาง Blogger นี้

เนื่องจากช่วงนี้ผมเกิดติดงานทำ Project เลยไม่สามารถหาเวลามาอัพเดทข่าว พอทำ Project เสร็จผมจะกลับมาอัพเดทข่าวอีกครั้งครับ ขอบคุณที่ติดตาม INtechDay มาโดยตลอด

ขอบคุณครับ

Microsoft เข้าร่วมโครงการพัฒนาสเปคมาตรฐานเซิร์ฟเวอร์บนแพลตฟอร์ม ARM


Microsoft
Microsoft ประกาศเข้าร่วมโครงการพัฒนาสเปคเพื่อสร้างมาตรฐานเซิร์ฟเวอร์บนแพลตฟอร์ม ARM
สเปคนี้มีชื่อว่า Server Base System Architecture ซึ่งกำหนดความต้องการขั้นต่ำของ systems-on-chip (SOC) ไว้ บริษัท ARM กล่าวว่าต้องการให้เกิดความเข้ากันได้ (compatibility) ในระดับหนึ่งโดยไม่ขัดขวางผู้ซื้อไลเซนส์ของชิปแต่ละรายที่จะไปสร้างนวัตกรรมต่อยอดจากดีไซน์ของชิปของบริษัท บริษัทยังระบุว่าเวอร์ชันแรกของสเปคนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
บริษัทชั้นนำอื่นๆ ที่ประกาศเข้าร่วมโครงการเดียวกันมีทั้ง AMD, Dell, HP, Red Hat และ Texas Instruments เป็นต้น
การที่ Microsoft เข้าร่วมโครงการนี้เป็นเรื่องน่าสนใจยิ่ง เพราะบริษัทไม่เคยประกาศแผนการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์บนแพลตฟอร์ม ARM มาก่อน จึงมีความเป็นไปได้ว่าบริษัทกำลังพัฒนาซอฟต์แวร์อย่าง Windows Server หรือ Hyper-V ให้รันบนเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ชิป ARM ได้อยู่
เช่นเคย โฆษกของ Microsoft ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดอื่น รวมถึงตอบคำถามว่าบริษัทกำลังพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์บนแพลตฟอร์ม ARM อยู่หรือไม่
ที่มา: Computerworld และ blognone

ซัมซุงเปิดตัวแอพ Eyes on the Road บล็อกการเชื่อมต่อเมื่อขับรถเร็วเกินกำหนด


ซัมซุงสิงคโปร์เปิดตัวแอพพลิเคชั่น Eyes on the Road ออกแบบมาสำหรับคนขับรถยนต์ที่ชอบใช้โทรศัพท์ไปด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของอุบัติเหตุทางถนน
แอพ Eyes on the Road มีหลักการทำงานที่ไม่ยุ่งยาก คือ ตัวแอพจะจับความเร็วของรถขณะเคลื่อนที่ หากมีความเร็วเกิน 20 km/h แอพจะไปบล็อกสัญญาณโทรศัพท์, SMS หรือแม้แต่ระบบแจ้งเตือนทางโซเชียลต่างๆ จนกว่ารถจะจอดนิ่ง 10 นาที หรือถึงจุดหมายปลายทาง ตัวแอพจึงจะปลดบล็อกการทำงานของโทรศัพท์
ตอนนี้แอพ Eyes on the Road เปิดให้โหลดไปใช้งานได้ฟรีบน Google Play Store ครับ
ที่มา - TNN24 และ blognone

CyanogenMod ออกรุ่น 10.2.1, หยุดพัฒนา Jelly Bean หันไปทำ KitKat อย่างเดียว


CyanogenMod
ทีม CyanogenMod ออกรอมรุ่น 10.2.1 ซึ่งจะเป็นรุ่นสุดท้ายในสายพัฒนา Jelly Bean (Android 4.3) หลังจากนี้ทีมงานจะหันไปทำ CM11 (Android 4.4 KitKat) เพียงอย่างเดียว
CyanogenMod 10.2.1 ไม่มีฟีเจอร์ใหม่เพราะเป็นรุ่นย่อยสำหรับแก้บั๊กและปรับปรุงข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ (เช่น ข้อมูล APN ของเครือข่ายทั่วโลก หรือการแปลภาษาเท่านั้น) แต่ CM 10.2.1 ก็รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายตัวจาก 10.2.0 เช่น Nook, Nook HD, Droid RAZR HD
สถานะของ CM11 ตอนนี้อยู่ที่รุ่น M2 หรือ Milestone 2 โดยเพิ่งออกเมื่อต้นเดือนนี้ และรองรับอุปกรณ์มากกว่า 65 รุ่น
ที่มา - CyanogenMod BlogAndroid Community และ blognone

[ข่าวลือ] Apple กำลังพัฒนาระบบชาร์จไฟหลายวิธีให้แก่นาฬิกาอัจฉริยะของตนเอง


Apple
มีรายงานว่า Apple ได้คิดเตรียมระบบชาร์จไฟให้แก่แบตเตอรี่ของนาฬิกาอัจฉริยะที่ยังอยู่ในช่วงพัฒนาไว้หลากหลายวิธีด้วยกันเพื่อหลีกหนีจากข้อจำกัดเดิมๆ ที่ต้องเสียบสายชาร์จไฟให้แก่อุปกรณ์ทุกครั้งที่แบตเตอรี่อ่อน
New York Times รายงานว่า Apple ได้คิดค้นพัฒนาระบบการชาร์จไฟให้แก่แบตเตอรี่ของนาฬิกาอัจฉริยะ โดยมีความเป็นไปได้หลายแนวทางด้วยกัน อย่างแรกคือการชาร์จไฟแบบไร้สายโดยอาศัยการเหนี่ยวนำทางแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ถูกใส่มาในสมาร์ทโฟนหลายต่อหลายรุ่นด้วยกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
วิธีอื่นๆ ที่ Apple กำลังพยายามนำมาใช้กับนาฬิกาอัจฉริยะของตนเอง คือการใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกับที่ใช้สำหรับนาฬิกาข้อมือทั่วไป เช่น การใช้แผงโซลาร์เซลล์เพื่อเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่ง Apple อาจติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ใต้ชั้นหน้าจอแสดงผล หรืออาจใช้พลังงานจลน์ที่เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ใช้เคลื่อนไหวร่างกายมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเลี้ยงแบตเตอรี่ ซึ่งนาฬิกาอัตโนมัติหลากหลายยี่ห้อในปัจจุบันนี้ก็มีการนำพลังงานจลน์มาใช้เลี้ยงอุปกรณ์อยู่ก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดข้างต้น ก็ถือว่าเป็นโจทย์ที่ไม่ง่ายเลยสำหรับ Apple ที่จะต่อยอดนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้งานจริงกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของตนเอง เนื่องจากวิธีการชาร์จไฟไร้สายโดยอาศัยการเหนี่ยวนำทางแม่เหล็กไฟฟ้านั้นยังมีข้อจำกัดทางกายภาพที่มีขนาดใหญ่ไม่น้อย จึงยังไม่เคยเห็นการใช้งานระบบนี้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก ในขณะนี้การใช้พลังงานจากแสงและพลังงานจลน์สำหรับนาฬิกาทั่วไปซึ่งไม่ได้มีการใช้พลังงานไฟฟ้ามากมายนัก คงไม่อาจเปรียบเทียบกับนาฬิกาอัจฉริยะได้ เพราะลำพังหน้าจอแสดงผลก็กินไฟไปมากโขแล้ว นี่จึงถือเป็นความท้าทายสำหรับ Apple อย่างแท้จริง
ที่มา - Engadget และ blognone

[ข่าวลือ] เลอโนโวจะเปิดตัวมือถือตระกูล Nexus เน้นเจาะตลาดสหรัฐเป็นหลัก


Lenovo
Eldar Murtazin บล็อกเกอร์รัสเซียเจ้าของผลงานข่าวหลุดข่าวลือมากมาย ที่ระบุว่ากูเกิลจะเลิกทำมือถือ Nexus ในปี 2015 และเปลี่ยนไปทำ Google Play Edition แทน ทวีตว่า เลอโนโวซึ่งเพิ่งซื้อโมโตโรลาจากกูเกิล จะเปิดตัวหนึ่งในมือถือรุ่นสุดท้ายของตระกูล Nexus โดยบริษัทจะผลิตจำนวนมากและมุ่งเจาะตลาดสหรัฐ
ต้องตามกันต่อว่าข่าวนี้จะจริงหรือเท็จกันแน่ครับ
ที่มา: @eldarmutazin และ blognone

ซีอีโอเลอโนโวเผย สนใจซื้อโมโตโรลามานานแล้ว, ซื้อจากกูเกิลเสร็จภายใน 2 เดือน


Lenovo
Yuanqing Yang ซีอีโอของเลอโนโว เผยเบื้องหลังการตัดสินใจซื้อโมโตโรลาผ่าน Fortune ดังนี้
  • เขาสนใจซื้อกิจการโมโตโรลาตั้งแต่ตอนแยกบริษัทเป็น Motorola Mobility และ Motorola Solutions ในปี 2011
  • หลังกูเกิลซื้อโมโตโรลาไม่นาน เขาเชิญประธานกูเกิล Eric Schmidt มากินข้าวที่บ้าน เขาบอกว่าถ้ากูเกิลยังอยากทำธุรกิจฮาร์ดแวร์ก็เก็บไว้ตามสบาย แต่ถ้าไม่สนใจธุรกิจฮาร์ดแวร์เมื่อไร เขาสนใจรับช่วงต่อ
  • Schmidt อีเมลหาเขาเมื่อสองเดือนก่อน ถามว่ายังสนใจโมโตโรลาอยู่หรือไม่ เขาตอบกลับไปว่าสนใจ หลังจากนั้น Larry Page เชิญเขาไปที่บ้าน และการเจรจาเสร็จสิ้นภายใน 2 เดือน
  • Yang บอกว่าเลอโนโวเข้มแข็งในจีนและประเทศกำลังพัฒนา ส่วนโมโตโรลาแกร่งในอเมริกาเหนือและละตินอเมริกา ตลาดไม่ทับกันเองอยู่แล้ว โดยเลอโนโวจะเก็บแบรนด์โมโตโรลาต่อไปในลักษณะเดียวกับแบรนด์ ThinkPad แต่ก็อาจใช้ชื่อว่า "Motorola by Lenovo" ทำตลาด (เขาบอกว่ายังไม่ตัดสินใจเรื่องนี้)
  • เขาตั้งเป้าว่าทั้งสองบริษัทรวมกันควรขายมือถือให้ได้ 100 ล้านเครื่องต่อปีในปี 2015 (ปัจจุบันสองบริษัทขายรวมกันได้ 55 ล้านเครื่อง แบ่งเป็นเลอโนโว 45 ล้าน โมโต 10 ล้าน)
  • ยังไม่ตัดสินใจเรื่องฐานการผลิตของโมโตโรลาในสหรัฐว่าจะเก็บไว้หรือจะทิ้ง แต่ถ้าตลาดชอบแนวทางมือถือปรับแต่งได้ของโมโตโรลา เขาก็จะเก็บไว้
  • เขามั่นใจว่าจะต่อสู้กับแอปเปิลและซัมซุงได้ ภารกิจของเลอโนโวคือการแซงหน้าบริษัททั้งสองนี้
ที่มา - Fortune และ blognone